ผู้ที่มีอาการเสพติดอื่นๆ มักจะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเสพติดอินเทอร์เน็ต
อาการติดอินเทอร์เน็ตเป็นความผิดปกติทางจิตใจที่ทำให้คนที่ติดใช้เวลากับคอมพิวเตอร์มากเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ การทำงาน การเงิน หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น ค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตของสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา ฉบับที่ 5 (DSM-5)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเชื่อว่าอาการเสพติดอินเทอร์เน็ต หรือโรคติดอินเทอร์เน็ต หรือ IAD นั้น สามารถทำให้เกิดผลเช่นเดียวกับการติดสารเสพติดหรือการติดพนัน บทความปี ค.ศ. 2012 ใน Current Psychiatry Reviews ได้บันทึกไว้ว่า การติดอินเทอร์เน็ตจะทำลายชีวิตโดยทำให้เกิดอาการทางประสาท วุ่นวายทางจิตใจ และเกิดปัญหาในการเข้าสังคม
มีคนเสพติดอินเทอร์เน็ตมากน้อยแค่ไหน
ยังไม่มีการศึกษาอาการเสพติดอินเทอร์เน็ตมากนัก จึงไม่อาจทราบได้ว่าจริงๆแล้วมีคนที่มีอาการนี้มากน้อยแค่ไหน แต่จากการศึกษาใน The American Journal of Drug and Alcohol Abuse พบว่า กว่า 8.2% ของชาวอเมริกันอาจเป็นโรคเสพติดอินเทอร์เน็ต การศึกษาอื่นๆ ก็คาดการณ์ว่าความผิดปกตินี้อาจส่งผลเสียต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตวัยนักศึกษามากกว่า 18% ข้อมูลจาก Internet Addiction: A Handbook and Guide to Evaluation and Treatment
แม้ว่าทุกคนทุกเพศทุกวัยสามารถมีอาการเสพติดอินเทอร์เน็ตได้ แต่คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มักจะเป็นผู้ชายในช่วงวัยรุ่น ช่วงอายุ 20 และ 30 ปี รายงานบางรายงาน กล่าวว่า โรคเสพติดอินเทอร์เน็ตเป็นปัญหาที่รุนแรงโดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย ตามรายงานของรอยเตอร์ในปี ค.ศ. 2013 เยาวชนอายุ 10-19 ปี ของประเทศเกาหลีใต้มีอาการเสพติดอินเทอร์เน็ตและประเทศจีนได้พัฒนาค่ายฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างเข้มงวดในแบบทหารเพื่อควบคุมให้ผู้ที่เสพติดอินเทอร์เน็ตห่างไกลจากการทำกิจกรรมออนไลน์ รายงานปี ค.ศ. 2012 ใน China Daily ให้ข้อมูลว่า ประเทศจีนมีครูฝึกในค่ายมากกว่า 1,500 คนที่มีใบอนุญาตในการรักษาอาการเสพติดอินเทอร์เน็ต
ปัจจัยเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน
คนที่จะเป็นโรคเสพติดอินเทอร์เน็ตมักจะรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมอยู่แล้ว พวกเขาอาจมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ และคนที่เสพติดสิ่งอื่นๆ เช่น ติดแอลกอฮอล์ ยาเสพติด เซ็กซ์ หรือการพนัน จะมีความเสี่ยงที่จะเสพติดอินเทอร์เน็ตสูง จากการศึกษามีพบว่าคนที่ติดอินเทอร์เน็ตยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพจิตอื่นๆ เช่น
- ภาวะซึมเศร้า
- วิตกกังวล
- รู้สึกต่อต้าน
- วิกลจริต
- โดดเดี่ยวทางสังคม
- เป็นโรคขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulse control problems)
- เป็นโรคใช้สารเสพติด เช่น การติดแอลกอฮอล์หรือติดยาเสพติด
อาการของคนที่ติดอินเทอร์เน็ต
โรคติดอินเทอร์เน็ตไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความสนใจหรืองานอดิเรกที่เป็นความชอบส่วนตัวของใครของมันเพียงอย่างเดียว ถ้าเกิดเป็นโรคติดอินเทอร์เน็ตขึ้นมาจริงๆ อาจส่งผลให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้
- เกิดผลเสียต่อการเรียนและการงาน
- ลดการมีส่วนร่วมกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
- หมดความสนใจในงานอดิเรกหรือการแสวงหาความรู้ใดๆ
- รู้สึกวิตกกังวลเวลาไม่ได้เล่นคอมพิวเตอร์
- เวลาไม่ได้เล่นคอมพิวเตอร์ คุณจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะกลับไปเล่นมัน
- โกรธหรือมีปฏิกิริยาป้องกันตัวเองเมื่อมีคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ
- เริ่มที่จะปกปิดการใช้คอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต
คนที่เป็นโรคติดอินเทอร์เน็ตอาจใช้เวลามากมายไปกับกิจกรรมออนไลน์ดัง ต่อไปนี้
- เล่นเกม
- เล่นการพนัน
- เล่นหุ้น
- ช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์
- "ช้อปปิ้ง" เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเว็ปหาคู่
- ไซเบอร์เซ็กซ์หรือภาพลามกอนาจาร
- โซเชียล มีเดีย
กิจกรรมเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณอย่างรุนแรงได้หากคุณหมกมุ่นกับมันมากเกินไป เช่น ทำให้มีปัญหาด้านความสัมพันธ์หรือปัญหาทางการเงิน
การถอนตัวจากการติดอินเทอร์เน็ต
อาการเสพติดอินเทอร์เน็ตทำให้มีสารโดพามีนในสมองมากเกินไปเช่นเดียวกับพฤติกรรมเสพติดสิ่งอื่นๆ นั่นหมายความว่าคนที่ติดอินเทอร์เน็ตจะรู้สึกดี "มาก" เวลาได้อยู่กับคอมพิวเตอร์และพวกเขายังรู้สึกมีอาการขาดด้วยเวลาไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ต อาการที่เกิดจากการถอนตัวจากอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย ซึมเศร้า หงุดหงิด วิตกกังวล เหงื่อออกหรือสั่น นอนไม่หลับอารมณ์เปลี่ยนแปลง และในบางเคสจะมีอาการแยกความคิดออกจากความเป็นจริง
ข้อมูลในรายงานปี ค.ศ. 2014 จาก Psychiatry Investigation แสดงถึงผู้ป่วยเคสหนึ่งเป็นชายอายุ 25 ปีกำลังพัฒนาอาการทางจิตเต็มที่ (full-blown psychotic) หลังหยุดเล่นเกมอินเทอร์เน็ตที่เขาเล่นอยู่ประจำเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสองปี
การวินิจฉัยโรคเสพติดอินเทอร์เน็ต
แบบสอบถามที่หลากหลายได้พยายามวินิจฉัยโรคเสพติดอินเทอร์เน็ตทางวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ยังไม่มีระบบการให้คะแนนใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัย แต่คำถามบางคำถามก็บ่งชี้ถึงอาการติดอินเทอร์เน็ตได้ เช่น
- คุณกำลังหมกมุ่นอยู่กับการใช้อินเทอร์เน็ตใช่หรือไม่
- คุณไม่สามารถต้านทานความต้องการเล่นอินเทอร์เน็ตของคุณได้ใช่หรือไม่
- คุณต้องใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกพอใจใช่หรือไม่
- เวลาที่ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ คุณพบว่าตัวเองอารมณ์เสีย กังวล หงุดหงิดหรือเบื่อ
- เมื่อคุณอารมณ์ไม่ดีหรือหงุดหงิด คุณจะหันมาใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อให้ผ่อนคลายใช่หรือไม่
- คุณเล่นอินเทอร์เน็ตออนไลน์เป็นเวลานานเกินกว่าที่คุณควรจะเล่นใช่หรือไม่
- คุณพยายามที่จะลดเวลาออนไลน์ของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป ใช่หรือไม่
- คุณมีอาการทางกายภาพใดๆจากการออนไลน์มากไป (ปวดหลัง ปวดตา) หรือไม่ คุณยังคงใช้อินเทอร์เน็ตแม้จะมีอาการเหล่านี้ใช่หรือไม่
- คุณมีปัญหากับที่โรงเรียนหรือที่ทำงานของคุณเนื่องจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณหรือไม่ คุณยังคงใช้อินเทอร์เน็ตแม้จะมีปัญหาเหล่านี้หรือไม่
- คุณมีปัญหาความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อนเนื่องจากการใช้อินเทอร์เน็ตของคุณหรือไม่ คุณยังคงใช้อินเทอร์เน็ตแม้จะมีปัญหาเหล่านี้หรือไม่
- คุณเคยใช้อินเทอร์เน็ตละเมิดกฎหมายทั้งที่คุณรู้หรือไม่
การรักษาอาการติดอินเทอร์เน็ต
ในบางเคส โรคเสพติดอินเทอร์เน็ตพัฒนามาจากการหนีปัญหาอื่นๆ เช่น ความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า ยาที่ใช้ในการรักษาความผิดปกติเหล่านี้ เช่น ยากล่อมประสาทหรือยาต้านความกังวล ซึ่งอาจช่วยในการรักษาโรคเสพติดอินเทอร์เน็ตได้ ตัวอย่างของยากล่อมประสาทที่รักษาอาการติดอินเทอร์เน็ตได้ เช่น
- Celexa (citalopram) – Seroquel (quetiapine) ใช้รักษาร่วมกัน
- Lexapro (escitalopram)
- Vivitrol (naltrexone)
- Wellbutrin (buproprion)
ปรึกษากับแพทย์หากคุณต้องการใช้ยาเพื่อรักษาอาการติดอินเทอร์เน็ต
การศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอาจช่วยลดระดับโดพามีนของคนที่เสพติดอินเทอร์เน็ตที่อยู่ระหว่างการรักษา เนื่องจากมีการลดการออนไลน์ นอกจากนี้ ความคิดและพฤติกรรมบำบัดสามารถช่วยรักษาอาการบางอย่างของการติดอินเทอร์เน็ตได้ เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล การบำบัดที่มุ่งให้เปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ อาจใช้เพื่อรักษาเสพติดอินเทอร์เน็ต
อาการเสพติดอินเทอร์เน็ตอย่างรุนแรงหรือการเสพติดที่ซับซ้อนจากการติดพนันหรือติดสารเสพติด อาจจำเป็นต้องใช้โปรแกรมรักษาที่เข้มข้นหรือแม้กระทั่งการรักษาผู้ป่วยใน ถ้าคุณเข้ารับการรักษา เป้าหมายของคุณไม่ควรเป็นการตัดการใช้อินเทอร์เน็ตออก แต่ควรจะเป็นการลดให้อยู่ในระดับที่ปกติซึ่งจะช่วยให้คุณยังทำงานและรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวได้
แหล่งที่มาข้อมูล https://www.honestdocs.co/internet-addiction